2023-03-07 16:05:17 poom Ldb

เทรนด์การทำงานในปี 2023

เงิน ความสุข และความยืดหยุ่น ต้องมาก่อน!

.

1. ปัจจุบันคนกลัว "การว่างงาน" แต่ในอนาคตหลายประเทศอาจ "ขาดแคลนแรงาน" : อาจจะฟังดูย้อนแย้งสักหน่อย แต่เทรนด์นี้มีที่มาที่ไป โดย Lynda Gratton (ลินดา แกรตตัน) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านองค์กรและศาสตราจารย์ด้านการจัดการแห่ง London Business School กล่าวว่า "ปีหน้าคนจะกลัวการว่างงานและเข้าสู่ตลาดแรงงานกันเยอะมากขึ้น เพราะกังวลเรื่องเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น"

.

อย่างไรก็ตามถึงแม้บางคนจะกังวลเรื่อง AI จะทำให้ตกงานหรือเปล่า แต่รายงานดังกล่าวกลับวิเคราะห์ว่า AI อาจจะมาเติมเต็มจำนวนแรงงานที่ขาดหายไปในวันข้างหน้า รวมทั้งช่วยให้เราทำงานได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย 

.

2. "ค่าตอบแทนและสวัสดิการ" คือเหตุผลหลักที่ทำให้คนเปลี่ยนงาน : จากการสำรวจของ Indeed ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2021 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2022 พบว่า : เหตุผลหลักที่ทำให้คนส่วนใหญ่ตัดสินใจเปลี่ยนงานคือ "ค่าตอบแทนที่สูงขึ้น" และรองลงมาคือเรื่องนโยบายทำงานทางไกล และความต้องการเปลี่ยนสายอาชีพ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นๆเพราะเศรษฐกิจตอนนี้ที่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นในรอบหลายปี

.

และในขณะเดียวกันหลายบริษัทได้เริ่มใช้ "สวัสดิการ" เพื่อดึงดูดให้มีคนมาสมัครงานกันมากขึ้น เห็นได้จากข้อมูลของ Indeed ที่พบว่า : ประกาศรับสมัครงานเริ่มระบุสวัสดิการเกี่ยวกับประกันสุขภาพ แผนวัยเกษียณ และระบบวันลาที่ยังได้รับค่าตอบแทนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1019-2022

.

3. "ทำงานที่ไหนก็ได้" เริ่มกลายเป็นเรื่องปกติ : ถึงแม้ว่าในอนาคตโรคระบาดจะไม่มีแล้วก็ตาม แต่การทำงานที่ไหนก็ได้ จะเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติในหลายๆ บริษัท แน่นอนว่าเป็นข้อดีที่เปิดโอกาสให้คนหลากหลายกลุ่มได้เข้ามาทำงานร่วมกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติ กลุ่มคนพิการ กลุ่มคนที่ไม่สะดวกเดินทางมาทำงานในออฟฟิศ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดเรื่องของการสื่อสาร และความสัมพันธ์ในองค์กรที่ต้องหาวิธีแก้ไขกันต่อไป!!

.

4. ผู้คนคาดหวัง "ความสุข" จากการทำงานมากขึ้น : เทรนด์นี้เห็นได้จากสถิติในรายงานของ Indeed ที่พบว่า คนทำงานกว่า 90% เชื่อว่าความรู้สึกต่องานที่ทำเป็นเรื่องสำคัญ และ 49% บอกว่าบริษัทของพวกเขามีการวัดผลความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน สอดคล้องกับการวิจัยของ Glassdoor ที่พบว่าพนักงานในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี และฝรั่งเศส ต่างบอกว่า ถ้าพวกเขาพึงพอใจและมีความสุขกับงานที่ทำ ก็มีโอกาสน้อยมากที่จะเริ่มมองหางานใหม่ๆ

.

5. DEI (diversity, equity, and inclusion) เป็นเรื่องสำคัญ : ในอนาคตหลายคนจะมองไกลไปมากกว่า "บริษัทให้อะไรกับเราบ้าง" แต่ยังหันมาจับตามองเรื่องความเท่าเทียมในองค์กรมากขึ้น โดยเฉพาะทัศนคิผู้นำในองค์กรว่าให้ความสำคัญกับ "DEI" หรือเปล่า ซึ่ง "DEI" ในที่นี้ ย่อมาจาก Diversity (ความหลากหลาย), Equity (ความเสมอภาค) และ Inclusion (การรวมกลุ่มกัน) หรือเรียกง่ายๆ ว่า เป็นการยอมรับความแตกต่างและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังนั่นเอง!

.

6. เทรนด์การทำงาน 4 วัน / สัปดาห์กลับมาอีกครั้ง : แม้การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ลินดา แกรตตัน มองว่าในปี 2023 นี้ รูปแบบการทำงานดังกล่าวจะมีแน้วโน้มเพิ่มมากขึ้น หรือย่างน้อยๆ ก็น่าจะถูกพูดถึงเยอะมากขึ้น 

.

ดังนั้นการทำงาน 5 วันอาจทำให้คนกลุ่มนี้ไม่สามารถแบกรับทุกอย่างได้ จนหมดไฟไปกับการทำงาน หรือเกิดปัญหาต่อสุขภาพตามมาได้ และจะวนกลับมาที่ในเรื่องของประสิทธิภาพในงานทำงานอีก แถมยุคนี้ยังมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดทอนบางงานลงไปได้ ทำให้ระบบการทำงาน 4 วันยังน่าจะเป็นไปได้และเป็นประโยชน์กับคนทำงานมากยิ่งขึ้น

.

7. คนอยากกลับมาออฟฟิศ เพราะ "อยากเจอเพื่อน" : ลินดา แกรตตันเล่าถึงประสบการณ์ตรงของตัวเธอเอง พร้อมอธิบายว่า แม้บางงานจะทำที่บ้านได้สบายๆ แต่เหตุผลหลักที่หลายคนอยากเข้าออฟฟิศไม่ใช่เรื่องาน แต่เป็นความรู้สึกอยากกลับไปเจอเพื่อนๆ หรือผูกมิตรกับคนในที่ทำงานมากว่า

.

ดังนั้นทำให้โจทย์ใหญ่ของหลายๆ องค์กรในปี 2023 คือการหาตรงกลางให้กับเรื่องนี้ ซึ่งเริ่มมีบางบริษัทที่ลองหาวิธีแล้วเหมือนกัน 

.

อ้างอิง : thematter.co / Indeed / Weforum / Article.tcdc.or.th / Lifestyleasia

.

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

---พิเศษ!!! สำหรับผู้ที่กำลังมองหางานใหม่ หางาน ขอนแก่น และหางานทั่วประเทศ หรือบริษัทที่มองหาพนักงาน วันนี้ bestjoth.com พร้อมแล้วที่จะช่วยทุกคนตามหาสิ่งที่ใช่ ไม่ว่าจะหางาน สมัครงาน รับสมัครงาน เพียงไปที่เว็บไซต์ของเราและลงทะเบียน!---